แนวทางการรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี 2552
แนวทางการรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี Update ก.ย.54 ครับ http://home.kku.ac.th/medicine/I-San/10.3/files/15-0.pdf
ปี 2552 http://www.liversocietythailand.org/Document/CHB_Guideline_13_03_10.pdf
Fort Sunpasitthiprasong Hospital อ.วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี www.ksp-hosp.com
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
เป้าหมายในการควบคุมระดับ LDL ในแนวทางการดูแลรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงของ ESC/EAS ปี 2011
ในแนวทางการดูแลรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงของ European Society of Cardiology (ESC) และ the European Atherosclerosis Society (EAS) ปี 2011 ได้กล่าวถึงเป้าหมายในการควบคุมระดับ LDL ไว้ว่า
เป้าหมายในการควบคุมภาวะไขมันในเลือดสูงโดยส่วนใหญ่มาจากข้อมูลการศึกษาโดยการใช้ LDL เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้น LDL จึงยังเป็นเป้าหมายหลัก (primary target) ในกลวิธีส่วนใหญ่เพื่อการควบคุมไขมันในเลือด โดยในการศึกษาล่าสุดที่ผ่านมา Cholesterol Treatment Trialist’s Collaboration (CTT) เป็นการศึกษาแบบ meta-analysis ในประชากรมากกว่า 170,000 คน ยืนยันว่าการลด LDL มีความสัมพันธ์กับการลดการเกิด cardiovascular disease (CVD) อย่างชัดเจน โดยทุกๆ 40 mg/dl ของ LDL ที่ลดลงจะสัมพันธ์กับการลดลงของอัตราการป่วยและอัตราการเสียชีวิตจาก CVD ลงมาได้ร้อยละ 22
ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำแนะนำใหม่ของ ESC/EAS เป็นดังนี้
1. ผู้ป่วยที่มี cardiovascular risk (CV risk) สูงมาก ควรรักษาให้ระดับ LDL ต่ำกว่า 70 mg/dl หรือลดลงมาอย่างน้อย 50% จากระดับเดิมถ้าไม่สามารถให้ LDL ลงมาน้อยกว่า 70 mg/dl (ระดับคำแนะนำ II, หลักฐานคำแนะนำระดับ A)
2. ผู้ป่วยที่มี CV risk สูง ควรรักษาให้ระดับ LDL ต่ำกว่า 100 mg/dl (ระดับคำแนะนำ IIa, หลักฐานคำแนะนำระดับ A)
3. ผู้ป่วยที่มี CV risk ระดับปานกลาง ควรรักษาให้ระดับ LDL ต่ำกว่า 115 mg/dl (ระดับคำแนะนำ IIa, หลักฐานคำแนะนำระดับ C)
ส่วนรายละเอียดการประเมินระดับความเสี่ยง cardiovascular risk สามารถอ่านเพิ่มได้จากในลิ้งค์นะครับ
Ref: http://www.escardio.org/guidelines-surveys/esc-guidelines/GuidelinesDocuments/guidelines-dyslipidemias-FT.pdf
เป้าหมายในการควบคุมภาวะไขมันในเลือดสูงโดยส่วนใหญ่มาจากข้อมูลการศึกษาโดยการใช้ LDL เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้น LDL จึงยังเป็นเป้าหมายหลัก (primary target) ในกลวิธีส่วนใหญ่เพื่อการควบคุมไขมันในเลือด โดยในการศึกษาล่าสุดที่ผ่านมา Cholesterol Treatment Trialist’s Collaboration (CTT) เป็นการศึกษาแบบ meta-analysis ในประชากรมากกว่า 170,000 คน ยืนยันว่าการลด LDL มีความสัมพันธ์กับการลดการเกิด cardiovascular disease (CVD) อย่างชัดเจน โดยทุกๆ 40 mg/dl ของ LDL ที่ลดลงจะสัมพันธ์กับการลดลงของอัตราการป่วยและอัตราการเสียชีวิตจาก CVD ลงมาได้ร้อยละ 22
ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำแนะนำใหม่ของ ESC/EAS เป็นดังนี้
1. ผู้ป่วยที่มี cardiovascular risk (CV risk) สูงมาก ควรรักษาให้ระดับ LDL ต่ำกว่า 70 mg/dl หรือลดลงมาอย่างน้อย 50% จากระดับเดิมถ้าไม่สามารถให้ LDL ลงมาน้อยกว่า 70 mg/dl (ระดับคำแนะนำ II, หลักฐานคำแนะนำระดับ A)
2. ผู้ป่วยที่มี CV risk สูง ควรรักษาให้ระดับ LDL ต่ำกว่า 100 mg/dl (ระดับคำแนะนำ IIa, หลักฐานคำแนะนำระดับ A)
3. ผู้ป่วยที่มี CV risk ระดับปานกลาง ควรรักษาให้ระดับ LDL ต่ำกว่า 115 mg/dl (ระดับคำแนะนำ IIa, หลักฐานคำแนะนำระดับ C)
ส่วนรายละเอียดการประเมินระดับความเสี่ยง cardiovascular risk สามารถอ่านเพิ่มได้จากในลิ้งค์นะครับ
Ref: http://www.escardio.org/guidelines-surveys/esc-guidelines/GuidelinesDocuments/guidelines-dyslipidemias-FT.pdf
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : http://www.phimaimedicine.org/
HAS-BLED bleeding risk score
แนวทางของ ESC แนะนำให้ประเมินความเสี่ยงในการมีเลือดออกจากการได้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) ในผู้ป่วย atrial fibrillation ถ้าพบว่ามีคะแนนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดเลือดออก โดยเฉพาะการมีเลือดออกในสมองซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ซึ่งต้องให้ความระมัดระวังและติดตามใกล้ชิดในการใช้ยา
โดยประเมินจาก
-H: Hypertension (SBP มากกว่า 160 mmHg) = 1 คะแนน
-A: Abnormal renal function (ได้รับการฟอกไตแบบถาวรหรือการปลูกถ่ายไตหรือ Cr 200 μmol/L ( มากกว่า ~2.3 mg/dL) = 1 คะแนน
Abnormal liver function (มีโรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง หรือผลตรวจทางชีวเคมีพบหลักฐานของการมีความผิดปกติอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น bilirubin มากกว่า 2 เท่าของค่าปกติที่สูงสุด, การมี AST/ALT/ALP มากกว่า 3 เท่าของค่าปกติที่สูงสุด) = 1 คะแนน
-S: Stroke (มีประวัติเคยมีโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน) = 1 คะแนน
-B: Bleeding (มีประวัติเลือดออกรุนแรง หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเลือดออก) = 1 คะแนน
-L: Labile INRs (หมายถึง INRs ไม่คงที่/สูง หรือไม่ได้ระดับในระยะเวลานาน (เช่น น้อยกว่า 60% ของระยะเวลาที่ควรจะได้ระดับ) = 1 คะแนน
-E: Elderly (อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 65 ปี) = 1 คะแนน
-D: Drug Therapy (มีการใช้ยา เช่น antiplatelet agents, NSAID's) = 1 คะแนน
Alcohol intake (ดื่มสุราตั้งแต่ 8 ดริ้งขึ้นไป/สัปดาห์) = 1 คะแนน
โดยการใช้ HAS-BLED bleeding risk score ร่วมกับ CHA2DS2-VASc Score ในการประเมินการใช้และความเสี่ยงในการมีเลือดออก
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : http://www.phimaimedicine.org/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)